Hi-End Category > Hi-End Corner

สมดุลเสียง เรื่องใหญ่สำหรับ Hi-End !!!

(1/4) > >>

chaiwat:

เคยแปลกใจไหมครับว่าทำไมคนเล่นเครื่องเสียงยิ่งแพง ยิ่งฟังแผ่นได้น้อยลง เพลงนั้นก็ฟังไม่ได้ เพลงนี้ก็ฟังไม่ได้ มันฟ้องไปเสียหมด

เรื่องแปลกอีกอย่างสำหรับ คนเล่น Hi-End ก็คือ เรามักได้ยินคำว่า?สูงสุด คืนสู่สามัญบ่อย?  #Think#

ความหมายคือ เล่นชุดแพงสุดโต่ง สุดท้ายกลับมาฟัง มินิคอมโป สบายใจกว่า

มันมีไหมครับคนเล่นรถ Super car แล้วบอกว่ากลับมาขับ Toyota vios ได้อารมณ์กว่า
คนเล่น TV Hi Def แล้วบอกว่ากลับมาดู 14 นิ้ว ขาวดำแล้วได้อารมณ์กว่า
คนใช้คอมส์พิวเตอร์ Macintosh ระดับแสน บอกว่า ใช้ Netbook หมื่นกว่าบาท ใช้แรงกว่า เร็วกว่า ภาพสวยกว่าก็ไม่มี

แต่วงการเครื่องเสียง เราได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ สมัยก่อนผมคิดว่าเค้าคงเล่นแล้วบรรลุ เราไม่เคยเล่นถึงระดับนี้ก็ได้แต่รับฟัง

จนวันนี้ผมพิสูจน์แล้ว ว่า คำพูดนี้มันผิดโดยสิ้นเชิง

เครื่องเสียงยิ่งดี ฟังแล้วต้อง?หูเสีย? ไม่ใช่หูมีปัญหาเรื่องการฟัง แต่ เวลาฟังชุดคุณภาพที่ต่ำกว่าแล้วรู้สึกว่ามันสู้ชุดที่เรามีไม่ได้

เล่นแล้วต้องได้อย่างนี้

แต่ในความเป็นจริงผมกล้าพูดเลยว่า คนเล่น Hi-End ที่ประสบความสำเร็จ คือเล่นแล้วเสียงดี มีความสุขจริงๆ มีน้อยมากๆ

เมื่อสอง-สามวันก่อน มีโอกาสได้คุยกับ อ.วิจิตร บุญชู ผมขอคำชี้แนะว่า มันเกิดจากอะไร

อ.วิจิตร แนะนำได้โดนใจผมมากว่า เครื่องเสียง เรื่องเสียงจะดีไม่ดี มันไม่อยู่ที่ราคาว่าถูกหรือแพง แต่มันอยู่ที่

?สมดุลเสียง? ได้หรือเปล่า

ผมฟังคำนี้แล้ว บรรลุ ขึ้นไปอีกขั้น เหมือนบัวที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเจอแสงสว่าง ปัญหาคาใจที่คั่งค้างมานาน ถูกเฉลยออกมาเป็นชิ้นๆ

ก็ลองมาลำดับเรื่องราว วิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านมา

ทำไมหนอบางชุดราคาแพงแสนแพงฟังแล้วก็งั้นๆ ไม่รู้สึกว่าแพงตรงไหน แต่บางชุดราคาไม่แพงเท่าไร ห้องฟังก็ไม่มี แต่ฟังแล้วโดนมากๆ

ทำไม Hi-End บางชุด ฟังเพลงได้จำกัด เพลงนี้ฟังได้ เพลงนั้นฟังไม่ได้ เพลงไทยอย่าได้เปิด เสียงหนวกหูเหลือเกิน

ทำไมคนเล่นเครื่องเสียง Hi-End ยิ่งเล่น ยิ่งไม่จบ เสียเงินไปมาแล้วก็เหมือน พายเรือในอ่าง ได้เสียงนั้น ขาดเสียงนี้ วนไปวนมา หาทางออกไม่เจอ

ทำไมบางซิสเต็ม เปิดเสียงแล้วเครียด ปิดเสียงแล้วสบายใจกว่า

ทำไม ทำไม และทำไม คนเล่นเครื่องเสียง Hi-end ถึงมีคำว่า ?สูงสุดคืนสู่สามัญ? หรือแปลชัดๆคำนี้ก็คือ?เลิกเล่น? นั่นเอง

เพราะมันขาด สมดุลเสียง นี่เอง

chaiwat:
สมดุล เสียง คือ การบาลานซ์ ระหว่างเสียง ทุ้ม กลาง แหลมที่พอดิบพอดี

ถ้ามีอะไรมากหรือน้อยไป ซิสเต็มจะไม่น่าฟัง ฟังเหมือนง่ายแต่จะค้นให้เจอนั้นยากมากๆ

ในชุดระดับกลางคุณภาพเครื่องไม่สูงมาก เครื่องมันไม่ฟ้องอะไรออกมาเยอะ แต่พอเป็น Hi-End คุณภาพแต่ละตัวนั้นชำแหละ แจกแจงรายละเอียดออกมาเป็นชิ้นๆ

เรียกว่าบุคลิกมันแรง  #Think#

พอมันขาด มันเกินอะไร เรื่องแย่ๆมันถึงถูกฟ้องออกมา

คำว่า เสียสมดุล เกิดได้จาก 2 กรณี

1.การที่คุณเลือกเครื่องเสียง จากรางวัล Stereophile Class A , TAS Golden ear , Hi-Fi choice , 5 ดาวแดง What Hi Fi UK และอื่นๆ

เครื่องเสียงที่ได้รางวัล มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเครื่องที่ยอดเยี่ยม คุณภาพดี นี่คือเรื่องจริง

 แต่เครื่องเสียงทุกตัวมันก็มีบุคลิกของมันเอง ซึ่งถ้ามีเครื่องตัวใด ตัวหนึ่งเสียงมันไม่เป็นกลาง เช่นเน้นเสียงแหลมมาก เบสน้อย เราก็ต้องหาเครื่องตัวอื่น หรือเส้นสายมาชดเชย

ที่เค้าเรียกว่า การแมทชิ่ง

แต่ถ้าเครื่องทั้งระบบมันไม่มีอะไรชดเชยบุคลิกของกันและกันได้เลย หรือเสริมไปในทิศทางใดมากเกินไป มันก็ออกอาการ เสียสมดุล

ดังนั้นการเล่นโดยเลือกซื้อโดยดูแต่รางวัล แล้วมาผสมกัน เล่นแล้วจบยากมาก สุดท้ายปัญหาที่ตามมาแน่ๆคื้อ พอเสียงมันไม่ได้แล้วจะแก้ที่ตรงไหน
ก็เริ่มเข้าสู่วงจร เปลี่ยน เปลี่ยน แล้วก็เปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนอะไรแต่ละอย่างมันอาจจะได้บางอย่างดีขึ้น แต่บางอย่างอาจแย่ลง ได้ตรงนั้น เสียตรงนี้ ฟังแล้วมันไม่พอดี

เสียเงินวนไปวนมา แต่ซิสเต็มไม่ก้าวหน้า

2. เรื่องเซ็ทอัพ

ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าคุณเซ็ทไม่ลงตัว เบสมากไป น้อยไป สมดุลเสียงมันก็เสียไปมาก การเซ็ทอัพตามคู่มือลำโพงเป๊ะๆ คือจุดเริ่มต้นของวงเวียนการจ่ายเงินแบบไม่สิ้นสุด

ระยะตามคู่มือ พอใช้เป็น Guideline ได้หยาบๆ ในชีวิตจริงห้องความยาวเท่ากัน สองห้อง ให้ตำแหน่งเบสที่ลงตัวแตกต่างกัน ดังนั้นระยะจากผนังด้านหลังถึงลำโพง ไม่มีทางเท่ากันพอดี

คนเล่น Hi-End ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 ไม่กล้าขยับลำโพงเอง เพราะเชื่อว่าจุดที่วางนั้นดีที่สุด

มีคนเล่นอีกไม่น้อยที่ใช้ลำโพงใหญ่ยักษ์ แต่ไม่มีเบส สุดท้ายจ่ายเงินอีกเป็นล้านบาทเพื่อซื้อซับเพิ่ม

คนขายก็ทารุณเชียร์ให้ซื้อซับ ทั้งๆที่ ขยับลำโพงอีกไม่เท่าไรก็ไม่ต้องเสียสตางค์กันแล้วแท้ๆ

ฝากไว้ตรงนี้ว่าถ้าเล่นลำโพง Hi-End ใหญ่ยักษ์แล้วต้องใส่ซับเพิ่ม ผมว่ามาไม่ถูกทาง ใส่ยังไงเสียงมันก็เสียสมดุล คุณได้เบสเพิ่มมา แต่กลางหาย แหลมจม เปิดเบสดังฟังแล้วอึดอัด ถ้าเปิดเบาๆก็ไม่รู้จะซื้อมาทำไม

ถ้าเข้า Loop นี้แล้วผมบอกได้เลย คุณเสียเงินอีกเท่าไรก็จบไม่ลง สุดท้ายก็เลิกเล่น

วิธีตรวจสอบง่ายๆ ว่าถ้าอยากรู้ว่าซิสเต็ม เสียงมีสมดุลดี หรือเปล่า เอาแผ่นเพลงไทยธรรมดาๆ ใส่แล้วเปิดฟัง ถ้าฟังได้ แสดงว่า สมดุลเสียงโอเค  แต่ถ้าฟังแล้วแย่ หรือฟังไม่ได้ แสดงว่า สมดุลเสียงไม่โอเค ซึ่งจะส่งผลให้คุณฟังเพลงได้เป็นบางแนวครับ

ซึ่งขัดแย้งกับ ความเป็นจริงของการลงทุน คุณจะเสียเงินไปเยอะๆแล้วต้องจำกัดแนวเพลงการฟัง มันไม่มีเหตุผล จุดสูงสุดของการ เล่น Hi-End คือต้องฟังได้ทุกแนว และย้ำว่าต้องฟังเพลงไทยได้ดีด้วยครับ

chaiwat:
http://www.youtube.com/watch?v=dPfEIPYk0_c



คราวนี้ผมจะมาเฉลยให้้ฟังว่าทำไมซิสเต็มขนาดใหญ่ยักษ์ ราคาเกิน 10 ล้านบาทของพี่โจ ถึงฟังเพลงได้ทุกแนว ท่านที่ยังไม่ดูแนะนำให้หาหูฟังหรือลำโพงคุณภาพดีสักหน่อย จะรับรู้ถึงคุณภาพเสียงได้ดี

ความลับคือ ทั้ง A ART , Octave และ Isophon นั้นมีความเป็นธรรมชาติสูงโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว

คือเฉพาะตัวของมันนั้น สมดุลเสียงดี มีเบส กลาง แหลมที่ใกล้เคียงกัน ไม่มีบุคลิกแฝงไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง

เริ่มต้นจาก พื้นฐานดี เป็นต้นทุนที่สำคัญ

จากนั้นสายสัญญาณที่เข้าไปเสริม ส่วนใหญ่เป็น Audioquest wel signature ซึ่งให้เสียงที่เป็นกลาง และสมดุลดี

ผลลัพธ์คือฟังได้ทุกแนว และออกมาดีในทุกๆแผ่น เพลงไทยฟังได้ดี ในขณะที่แผ่น Audiophile นั้น ฟังแล้วเหมือนเล่นดนตรีสดมากกว่าฟังแผ่น

นั่นคือความลับของซิสเต็มนี้ครับ

คม (บางแค):
ชุดเครื่องเสียงที่ดีหรือชุดที่มีการ แมทชิ่ง แล้ว ลงตัว ต้องฟังเพลงได้ทุกแนวครับ อันนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

Highfly:
เพิ่งฟังคลิปรายการเมื่อคืนวันเสาร์จบ ก็ได้มาอ่านกระทู้นี้ต่อทันที ตอนนี้เข้าใจทะลุปรุโปร่งเลยครับ

 1140

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ไปที่เวอร์ชันเต็ม