หลังจากที่ไปเสาะแสวงหาสายไฟที่น่าจะเข้าตากรรมการมาเข้าร่วมประลองในครั้งนี้เพิ่มเติมซัก 2-3 เส้น ผมได้มีโอกาสทดลองฟังเสียงจากสายไฟมากมายหลายยี่ห้อทั้งที่คุ้นหูและที่ไม่ค่อยจะเคยได้ยินกันก็มี ยกตัวอย่างเช่น
Kimber Kable PK-10 เข้าหัว Wattgate ทอง (330i, 350i)
Acrolink 7n-p4030ii เข้าหัว Oyaide P004/C004
Oyaide Tunami เข้าหัว Oyaide 079
ซึ่งแต่ละเส้นนั้นก็เป็นสายที่ดีและมีจุดอ่อนจุดแข็งในตัว แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าจะสามารถเอาชนะสายที่ประจำการอยู่ในระบบของผมได้ ถ้าวัดกันเฉพาะในตำแหน่งที่มันถนัดนะครับ ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด จนกระทั่งผมได้ศึกษาข้อมูลในต่างประเทศอย่างจริงๆจังๆ และก็ได้ค้นพบสายยี่ห้อหนึ่ง ก็คือ HiDiamond ซึ่งเป็นยี่ห้อจากประเทศ Italy ที่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างในระยะหลังๆ

ผมนั่งอ่านเวบบอร์ดเครื่องเสียงที่นิยมๆกันใน 3 ประเทศ อเมริกา แคนาดา และอังกฤษ เมื่อไรก็ตามที่มีการพูดถึงสายเส้นนี้ขึ้นมา ผลตอบรับจากผู้ใช้จะชื่นชมกันอย่างล้นหลาม ทั้งนักเล่นระดับ Hi-End, นักวิเคราะห์, ตัวแทนจำหน่าย หรือแม้แต่ คอลัมนิสต์จากนิตยสารชื่อดังหลายฉบับ มักให้ความเห็นเดียวกันว่า มันเป็นสายที่ดีที่สุดในระดับ Mid-End โดยไม่ต้องเกี่ยงราคา (ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่า ถ้าเจอกับสายใดๆในราคาต่ำแสนลงมาแล้วล่ะก็ ไร้คู่ต่อกรกันเลยทีเดียว) โดยให้คำนิยามว่า มีความเป็นกลางและเที่ยงตรงสูงมาก ผู้เขียนบทความบางท่านกล่าวว่าใช้สาย HiDiamond ในการทดสอบระบบ เพราะเมื่อใส่สายไฟ HiDiamond รุ่น HD 3 หรือ HD 4(รุ่นท็อป) เข้าไปแล้วล่ะก็หากเสียงยังไม่ดีแปลว่าระบบนั้นยังไม่สมบูรณ์ เพราะมันไม่เคยฉุดระบบใดๆในทุกๆแง่ให้แย่ลงเลย (ว่าไปโน่น....

) นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องรายละเอียด เวทีมิติเสียง ความสมจริงต่างๆนาๆ ที่หาข้อเสียไม่มี
ผมเลยลองคุยกับคุณชัยวัฒน์ว่าเคยคิดเอาสาย HiDiamond มาขายหรือไม่ ซึ่งคุณชัยวัฒน์ก็บอกว่าเคย เพราะข้อมูลที่ได้รับใกล้เคียงกันกับผมนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะมันยังไปได้ไม่สุด เค้าไม่มีแผนการผลิตรุ่นที่สูงกว่านี้ (จบที่รุ่น HD 4) เท่านั้น แต่ผมก็ยังคิดว่า “แค่รุ่น HD 4 นี่ก็ปาเข้าไป 7 หมื่นกว่าแล้ว อย่างเราคงไม่ต้องสุดกว่านี้หรอก ไม่มีตาางงงค์

“
หลังจากนั้นผมก็เลยรีบทุรนทุรายไปหาสายรุ่น HiDiamond 3(ในรูปเป็นแค่ HD 2 แต่หน้าตาคล้ายๆกันครับ) โดยซื้อจากตัวแทนในประเทศไทยมาลองฟังเป็นการด่วน โดยมีราคาค่าตัวประมาณ 2 หมื่นบาท เมื่อได้นำมาลองกับระบบที่บ้าน ผมคิดไว้ก่อนเลยว่า สายระดับนี้แล้ว ไม่ต้องลองกันให้มาก จับชนตัวยืนในแต่ละจุดแบบเข้ารอบชิงไม่ต้องเตะ play off ไปเลยแล้วกัน ผลที่ได้ในความคิดของผมคือ ไม่มีจุดไหนเลยที่ มันจะเอาชนะตัวยืนเดิมที่ประจำการอยู่ได้ แต่มันก็ไม่ได้ขี้เหร่นะครับ จะทำได้ในระดับกลางๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น
ตำแหน่ง CD Player Rotel แม้จะสู้ In-Wall หรือ Nordost ไม่ได้ แต่ก็ดีกว่า WireWorld หรือ AQ NRG10
ตำแหน่ง Power Amp ย่านเสียงสูง ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่า AQ NRG10 กับ Nordost
ตำแหน่ง Power Amp ย่านเสียงต่ำ ก็เช่นกัน ยังคงแพ้ Furutech Carbon และ WireWorld แต่ยังเหนือกว่า Nordost และ In-Wall
สุดท้ายตำแหน่งเครื่องกรองไฟ เสียงที่ได้ก็ไม่เท่า Furutech Carbon แต่ก็ไม่เป็นรอง WireWorld และ In-Wall อยู่ดี
ผมสรุปเอาเองว่ามันเป็นสายที่เที่ยงตรง ให้ความเป็นจริงของดนตรีสูง มายังไงไปอย่างงั้น ไม่ค่อยมีการปรุงแต่ง เสียงทุ้ม กลาง แหลม ทำได้ในระดับกลางๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น รายละเอียดก็มีพอประมาณ แต่ยังหาจุดแข็งจริงจังๆไม่เจอ
นี่ถ้านักวิจารณ์ระดับโลกทั้งหลายเค้ามาเห็นผม Review แบบนี้ ผมคงโดนต้องไล่ออกนอกวงการแน่ๆ
ยังไงเดี๋ยววันศุกร์นี้ช่วงเที่ยงๆ เพื่อให้หายข้องใจ ผมจะขอนำสายเส้นนี้ไปให้ทีมงาน Fortune เพื่อให้ น้าอั๋น อาร์ต น้องโอ ช่วยฟังเป็นสักขีพยานด้วยนะครับ ว่าหูผมมันเพี้ยนรึเปล่า
ป.ล. สายเส้นนี้เป็นสายใหม่แกะกล่องนะครับ ยังไม่ได้เบิร์นใดๆทั้งสิ้น
มาถึงเส้นสุดท้าย(ที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก) ซึ่งผมขอตั้งฉายาให้มันว่าเป็นจอมล้มแชมป์ แล้วกันนะครับ เจ้านี่คือ สายไฟ NeoTech NEP-1001 Pure Silver ซึ่งผมตามหามานานแล้ว

NeoTech เป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงต่างๆให้กับ บริษัทใหญ่ๆ หลายค่ายในโลกเกือบสิบยี่ห้อ เช่น Acoustic Zen หรือแม้แต่ Kimber Kable เป็นต้น โดยที่เจ้าตัวกลับไม่ทำการตลาดให้กับแบรนด์ตัวเองเท่าที่ควร แต่นั่นก็ทำให้สินค้า NeoTech สามารถผลิตของคุณภาพสูงได้ในราคาต่ำนั่นเอง สำหรับสายไฟเส้นนี้ เป็นรุ่นท็อปสูงสุด ซึ่งในปัจจุบันคงมีสายไฟไม่กี่เส้นในโลกที่ใช้แกนนำเป็นเงินแท้ทั้งหมด โดยNeoTech ได้ใช้เทคโนโลยี UP-OCC กับสายไฟเงินขนาด 9AWGเส้นนี้ ทำให้เสียงที่ได้มีทั้งเสียงปลายแหลมและรายละเอียดที่ดีเยี่ยม ประกอบกับเสียงย่านกลางต่ำที่สมดุลและลงตัว แต่สำหรับราคาค่าตัวนั้น ผมได้สอบถามไปยังตัวแทนในยุโรปและอเมริกา ได้คำตอบมาว่า สายเส้นนี้จะขายให้กับตัวแทนจำหน่ายของแต่ละประเทศเท่านั้นซึ่งมีอยู่ไม่กี่ที่ในโลก และในเมืองไทยก็ไม่ได้มีเป็นหลักแหล่งมากมายอะไร จะมีก็บางชิ้นบางประเภทเท่านั้น ซึ่งหากผมสั่งซื้อซัก 100 เมตร ก็จะได้ราคาถูก(บ้าไปแล้ว จะเอาไปทำอะไร) แต่ถ้าสั่งมาแค่ 10-20 ฟุต ก็จะโดนไป “ฟุตละ” 8-9 พันบาท ตกเส้นนึงซัก 1.5 m ก็คงราวๆ 4 หมื่นบาท

ยังไม่รวมหัว เพราะไม่ได้ถามถึงสายแบบ Package ซึ่งก็มีเช่นกัน
ถึงตรงนี้ผมชักเริ่มเศร้า เฮ้อ.. สงสัยจะอด แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งผมไปเจออาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งก็พอเป็นที่รู้จัก และมักจะเจอท่านในงานเครื่องเสียงอยู่เสมอ ปรากฏว่าในsystem ที่ท่านโชว์อยู่ ใช้สายเส้นนี้แบบ Package อยู่กับเครื่องเล่น CD พอเข้าไปสอบถาม ท่านบอกว่าเมื่อก่อนเคยสั่งของ Neotech มาขายอยู่บ้าง แต่สายเส้นนี้มีอยู่เส้นเดียว เอาไว้เสียบตอนออกงานโชว์มาตลอด เสียงดีระดับสาย 8-9 หมื่น ผมเลยเข้าไปขอร้องและออดอ้อน(แทบกราบ..)ว่าผมอยากได้สายเส้นนี้มาก หามานาน ขายให้ผมได้หรือไม่ ท่านตอบว่า ขายแล้วจะเอาอะไรไว้เสียบเวลาโชว์ เพราะไม่มีเส้นไหนที่ท่านขายอยู่เสียงดีกว่านี้ แต่หลังจากทนลูกอ้อนผมไม่ไหว.. ท่านก็ตกลงขายให้ผมแบบราคากันเองมือสอง(เอาเป็นว่ายังอยู่ในสังเวียนนี้ได้ เพราะราคาสูสีกับคู่แข่งอื่นๆ) พอได้ของเสร็จ ผมรีบวิ่งกลับบ้านแบบไม่เหลียวหลัง(กลัวท่านเปลี่ยนใจ

)
เมื่อถึงบ้านก็รีบนำมาเสียบฟังแบบเข้ารอบชิงเช่นเดิม คราวนี้ต้องตั้ง นะโม ก่อนฟังว่าอย่าให้เหลวอีกเลย จะหมดมุขแล้ว ผลที่ได้คือ
รอบแรก ตำแหน่ง CD Player NeoTech NEP-1001 Silver VS JPS Labs In-Wall หัว Furutech F11(R)
ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าจะเจอคู่แข่งที่ทำได้ดีกว่า In-Wall เสียงมีรายละเอียดที่ดีกว่า รวมทั้ง Dynamic การผ่อนรับ การเร่งของเสียงทำได้ราบลื่นไม่มีที่ติ มีการคุมจังหวะที่แม่นยำกว่าเล็กน้อย เสียงร้องดูชัดเจน แต่ก็มีพลังและเนื้อหนังที่ไม่บางเกินไป แต่อาจจะมีด้านความโปร่งใสที่ดูยังกิน In-Wall ไม่ลงอยู่นิดๆ
และเมื่อเทียบกับ Nordost Heimdall II ในตำแหน่งเดียวกันนี้ NeoTech สามารถทำได้แทบทุกอย่างที่ Nordost ทำได้ แต่เรื่องความหนักแน่น และพละกำลังที่หายไปจาก Nordost นั้น ยังคงมีอยู่ครบเช่นเดิมไม่หายไปไหน
รอบ 2 ตำแหน่ง Power Amp ย่านเสียงต่ำ NeoTech NEP-1001 Silver VS JPS Labs AC +
โดยภาพรวม NeoTech ยังคงทำได้ดีกว่าเช่นเดิม เสียงย่านกลางมีความโดดเด่น และยังคงเอชนะไปได้ด้วย Dynamic และการคุมจังหวะที่ดีกว่า แต่เสียงเบสนั้น ถ้าตั้งใจฟังซัก 3-4 รอบก็พอจับได้ว่าเบากว่า AC + อยู่เล็กน้อย ถือว่าสามารถผ่านเข้าสู่รอบรอง ไปพบกับ AudioQuest NRG ได้ครับ
รอบ 3 ตำแหน่ง Power Amp ย่านเสียงสูง NeoTech NEP-1001 Silver VS AudioQuest NRG-10 เข้าหัว AudioQuest NRG-500
สำหรับด่านนี้ต้องถือว่าหินไม่ใช่เล่น เพราะความหวานและเสียงร้องของ AQ NRG ยังคงตราตรึงใจผมอยู่ไม่รู้ลืม เมื่อเริ่มประชันกันนั้น NeoTech ก็เฉือนขึ้นนำอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงร้องมีความชัดเจนกว่า แต่ก็สามารถทอดตัวได้ยาวเช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเฉือนหวิวไปได้ด้วยการแยกเสียงเครื่องดนตรีประเภทโลหะทั้งหลายได้อย่างเด่นชัด ลูกกรุ๊งกริ๊ง และตำแหน่งของเครื่องเคาะถูกแยกออกมาอย่างเป็นอิสระ เอาล่ะสิครับ สายเดิมๆที่บ้านผมเริ่มน้อยใจแล้ว ขอส่งไปเข้ารอบชิงเจอพี่ใหญ่เลยแล้วกัน
รอบชิงชนะเลิศ ตำแหน่งเครื่องกรองไฟ NeoTech NEP-1001 Silver VS Furutech Alpha-3 เข้าหัว Furutech F50 (Carbon)
ถึงตอนนี้ Furutech Carbon ต้องแบกศักดิ์ศรีของเพื่อนๆสู้สุดชีวิตแล้วล่ะครับ เพราะโดนกันมาเรียงตัวเลย เมื่อสิ้นเสียงนกหวีด ปรากฏว่าทำได้เสมอกันในครึ่งแรกจากรายละเอียดต่างๆ ที่นำเสนอให้ได้ยินอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งเสียงหายใจ และเสียงลมแผ่วๆที่ค่อยๆผ่านซอกฟันออกมา ผมนั่งจับผิดจนแทบจะเป็นบ้า ก็ยังคงแยกไม่ออกจริงๆ หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง Furutech Carbon ก็ยิงประตูขึ้นนำไปด้วยความหนักแน่นของดนตรี อีกทั้งความโปร่งชัดและสดใสจากอิทธิพลของ Rhodium ในตัว ก็แสดงออกมาให้ได้เห็นกันมากกว่านิดหน่อย แต่ก็นำได้อยู่ไม่นานครับ NeoTech ตีเสมอได้จาก ความละมุนละไมของเสียงที่นุ่มนวล ซึ่งทำได้ดีกว่า Alpha-3/Carbon ซึ่งยังมีความจัดจ้านอยู่นิดๆ แต่ไม่มีให้เห็นกับสาย UP-OCC Silver เลย และแล้ว NeoTech ก็มาได้ประตูชัยขึ้นนำในช่วงทดเวลาเจ็บ จากความหวานของเนื้อร้องและความเป็นดนตรีที่ทำได้ดีกว่า แต่โชคร้ายที่กรรมการเป่าเสียงนกหวีดซะก่อน ในรอบชิงนี้ NeoTech จึงทำได้เพียงเสมอแบบน่าชนะ...
ต้องขออภัยด้วยนะครับ พอดีช่วงนี้ดูบอลดึกๆบ่อย เลยเขียนผสมปนเปกันมั่วไปหมด..
ยังไงลำพังผมคนเดียวอาจตัดสินได้ไม่ยุติธรรม ถ้าท่านใดสนใจ วันศุกร์นี้ช่วงเที่ยงๆ ผมจะนำสายทั้งสองเส้นนี้ HiDiamond 3 กับ NeoTech NEP-1001 เข้าไปให้น้าๆที่สาขา Fortune ช่วยตัดสินอีกที กับผลที่ได้ว่าเป็นเช่นไรกันแน่ แล้วจะมาแจ้งให้ทราบต่อไปครับ